สำหรับภรรยาชาวไทยที่ได้สมรสตามกฎหมายกับสามีชาวอเมริกัน และมีความประสงค์จะย้ายไปอยู่ถาวรที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น สามารถที่จะขอวีซ่าคู่สมรสหรือวีซ่าแต่งงานอเมริกาได้ บางครั้งเราก็เรียกวีซ่าประเภทนี้กันสั้นๆว่า “วีซ่าCR1”
แต่ทั้งนี้ ผู้สมัครวีซ่าประเภทนี้จะต้องทำความเข้าใจวิธีการขอและคุณสมบัติของผู้ขอและสามีอเมริกันเสียก่อน
เพราะการที่เราจะย้ายจากประเทศไทยเพื่อไปใช้ชีวิตกับคู่สมรสที่ต่างประเทศได้นั้น เราต้องขออนุญาตจากหน่วยงานคนเข้าเมืองในประเทศอเมริกาเสียก่อน
เพื่อให้เราสามารถอยู่อาศัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังวางแผนจะไปใช้ชีวิตครอบครัวกับคู่สมรสอเมริกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว บทความนี้จะช่วยให้คุณทราบถึงข้อมูลและขั้นตอนอย่างละเอียด ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
“อนึ่ง เราอยากให้คุณอ่านข้อมูลของวีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าคู่หมั้นประกอบด้วยนะ เพื่อให้คุณเข้าใจความแตกต่าง และดูว่าวีซ่าไหนจะเหมาะกับคุณมากกว่าด้วย”
อ่านเพิ่มเติม: วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา B1/B2 ปี 2023
อ่านเพิ่มเติม: วีซ่าคู่หมั้นอเมริกา K1 ปี 2023
Tip: เนื่องจากข้อมูลจะค่อนข้างละเอียด และยาวเป็นกิโลเลย เราแนะนำให้กดปุ่มแชร์ด้านบนไว้ เพื่อกลับมาหาอ่านอีกได้ง่ายนะ
สารบัญเนื้อหา (คลิกอ่านทีละหัวข้อได้)
- วีซ่าคู่สมรสหรือวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1 คืออะไร
- คุณสมบัติของผู้สมัครและ Sponsor วีซ่า CR1
- ค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าแต่งงาน CR1
- รายการเอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1
- ขั้นตอนการขอวีซ่าคู่สมรสอเมริกา CR1
- ต้องทำอย่างไรบ้างหลังจากได้วีซ่า
- ระยะเวลาในการขอวีซ่าคู่สมรสสหรัฐอเมริกา
- คำถามที่พบบ่อย CR1
- บริการรับทำวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1
- บทสรุป
วีซ่าคู่สมรสหรือวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1 คืออะไร ?
วีซ่าคู่สมรสหรือวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1/IR1 คือ วีซ่าที่เปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันยื่นเรื่องขอให้คู่สมรสต่างชาติไปอยู่ด้วยกันที่สหรัฐอเมริกา เมื่อผู้ที่ได้วีซ่าเดินทางเข้ามาในอเมริกาจะได้รับ Permanent Resident Card หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “กรีนการ์ด” ทำให้สามารถอยู่ในอเมริกากับคู่สมรสได้อย่างไม่มีกำหนดและมีสิทธิยื่นเรื่องขอเป็นบุคคลสัญชาติอเมริกัน (Citizen) ได้ในภายหลังด้วย
ข้อแตกต่างระหว่าง CR1 และ IR1
CR1 หรือ Conditional Resident เป็นวีซ่าสำหรับคู่สมรสของชาวอเมริกันที่ได้จดทะเบียนสมรสกันมาแล้วน้อยกว่า 2 ปี เมื่อผู้ที่ได้รับวีซ่า CR1 เดินทางเข้ามาในสหรัฐอเมริกาจะได้ ‘กรีนการ์ดแบบมีเงื่อนไข’ ที่มีอายุ 2 ปี หลังจากนั้นภายใน 90 วันก่อนที่กรีนการ์ด 2 ปีจะหมดอายุ จะต้องไปทำเรื่องขอถอดถอนเพื่อทำเรื่องขอกรีนการ์ด 10 ปี (Remove Conditions on Permanent Residence)
IR1 หรือ Immediate Relative เป็นวีซ่าสำหรับคู่สมรสของชาวอเมริกันที่ได้จดทะเบียนสมรสกันมาแล้วตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เมื่อผู้ที่ได้รับวีซ่า IR1 เดินทางเข้ามาในสหรัฐอเมริกาจะได้กรีนการ์ดถาวรอายุ 10 ปี
ในขั้นตอนของการสมัครวีซ่านั้นจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าขอเป็นวีซ่า CR1 หรือ IR1 ผู้สมัครและสปอนเซอร์อาจสมรสกันมาน้อยกว่า 2 ปี ณ วันที่มีการยื่นคำร้อง แต่เนื่องจากระยะเวลาในการรอวีซ่าใช้เวลาหลายเดือน อาจทำให้ระยะเวลาสมรสมากกว่า 2 ปี ผู้สมัครก็อาจได้รับอนุมัติเป็นวีซ่า IR1 ได้
คุณสมบัติของผู้สมัครและ Sponsor วีซ่า CR1
การที่เราจะขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1 ได้นั้น ทั้งคุณและคู่สมรสชาวอเมริกันจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ระบุไว้ด้านล่างนี้ หากมีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วนแล้ว การขอวีซ่าคู่สมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลใจอีกต่อไป
สปอนเซอร์ชาวอเมริกัน | ผู้สมัคร |
จดทะเบียนสมรสกันแล้วและสามารถพิสูจน์ได้ว่าการสมรสนี้เป็นการสมรสที่แท้จริง | |
สามารถแสดงหลักฐานการยื่นภาษีย้อนหลังปีล่าสุดหรือ 3 ปีย้อนหลังได้ | สุขภาพแข็งแรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ |
รายได้ปีภาษีล่าสุดผ่านเกณฑ์ที่กำหนด*
(I-864P: HHS Poverty Guidelines for Affidavit of Support) |
ไม่เคยมีประวัติการทำงานผิดกฎหมาย |
ไม่เคยต้องโทษคดีร้ายแรงหรือมีประวัติกระทำความผิดซ้ำซ้อน | ไม่เคยต้องโทษคดีร้ายแรงหรือมีประวัติกระทำความผิดซ้ำซ้อน |
*TIP: ในกรณีที่รายได้ปีล่าสุดของสปอนเซอร์ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด สามารถให้ผู้ที่มีสัญชาติอเมริกาหรือผู้ที่เป็น U.S. Permanent Resident ที่มีรายได้ผ่านเกณฑ์ยื่นร่วมเป็น Joint Sponsor ได้
หากคุณหรือคู่สมรสมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่ระบุไว้ข้างต้น คุณสามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญของทางบริษัทได้ เพื่อให้เราช่วยดูแลและทำให้การยื่นวีซ่าของคุณเป็นไปได้ด้วยดี
ค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าแต่งงาน CR1
การทำวีซ่าแต่งงาน CR1 นั้น มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายหลายส่วนด้วยกันที่ผู้สมัครจะต้องเตรียมสตางค์ไว้
แต่ทั้งนี้ การจ่ายเงินเราไม่ต้องจ่ายทีเดียวรวดเดียวนะ เราค่อยๆจ่ายไปทีละขั้นตอนได้ และแต่ละขั้นตอนก็ทิ้งเวลาห่างกันนานพอสมควรเลยทีเดียว
โดยค่าธรรมเนียมนั้น จะมีดังตารางข้างล่างนี้:
รายการ | ค่าธรรมเนียม |
ค่าธรรมเนียมคำร้อง I-130 | 535$
(16,100 บาท) |
ค่าธรรมเนียมการยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐาน (IV Fee) | 325$
(9,800 บาท) |
ค่าธรรมเนียมการยื่น Affidavit of Support | 120$
(3,600 บาท) |
ค่าธรรมเนียมกรีนการ์ด | 220$
(6,600 บาท) |
ค่าธรรมเนียมการขอใบรับรองความประพฤติ | 100 บาท |
ค่าตรวจสุขภาพ | 6,000 – 12,000 บาท |
[ข้อมูล ณ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2564]
รายการเอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1
เอาละ เรามาถึงส่วนสำคัญที่สุดในการขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR 1 แล้ว นั้นก็คือรายการเอกสารที่คุณจะต้องใช้หรือจัดเตรียมเพื่อยื่นวีซ่านั้นเอง
เพราะหากคุณเตรียมเอกสารไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง คนพิจารณาเคสของเราเค้าก็คงจะต้องปฎิเสธ
โดยเอกสารหลักๆเลยที่จะต้องใช้ในการยื่นคำร้องขอวีซ่าคู่สมรส CR1 จะมีดังนี้:
- ใบคำร้องวีซ่าคู่สมรสออนไลน์ สำหรับสปอนเซอร์ชาวอเมริกัน (I-130)
- ใบคำร้องวีซ่าคู่สมรส สำหรับคู่สมรสของสปอนเซอร์ชาวอเมริกัน (I-130A)
- หนังสือค้ำประกันจากสปอนเซอร์หรือสปอนเซอร์หลัก (I-864)
- เอกสารส่วนตัวของผู้สมัครพร้อมฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษมีตราประทับรับรองคำแปล เช่น หนังสือเดินทาง ใบเกิด ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ทะเบียนหย่า (ถ้าเคยหย่ามาก่อน) เป็นต้น
- เอกสารส่วนตัวของสปอนเซอร์ เช่น ใบเกิด หนังสือเดินทาง Naturalization certificate ใบขับขี่ ใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล ใบหย่า (ถ้าเคยหย่ามาก่อน) เป็นต้น
- เอกสารแหล่งพำนักในอเมริกาของสปอนเซอร์ เช่น สัญญาเช่า เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน หลักฐานการผ่อนชำระค่าบ้านหรือmortgage statement บิลค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
- เอกสารการงานและรายได้ของสปอนเซอร์ เช่น เอกสารภาษีเงินได้ปีล่าสุดหรือTax Return Transcriptปีล่าสุด หนังสือรับรองงาน เป็นต้น
- ใบรับรองความประพฤติจากกรมตำรวจของผู้สมัคร
- รูปถ่ายสี 8 รูป ขนาด 2×2 นิ้ว รูปสี พื้นหลังสีขาวของผู้สมัคร
- รูปถ่ายสี 1 รูป ขนาด 2×2 นิ้ว รูปสี พื้นหลังสีขาวของสปอนเซอร์
- หลักฐานแสดงความสัมพันธ์
- ผลตรวจสุขภาพของผู้สมัคร
ในกรณีที่มีสปอนเซอร์ร่วม หรือ Joint Sponsor:
- หนังสือค้ำประกันจากสปอนเซอร์ร่วม (I-864)
- หลักฐานที่แสดงว่าสปอนเซอร์ร่วมถือสัญชาติอเมริกันหรือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐอเมริกา เช่น หนังสือเดินทาง กรีนการ์ด
- เอกสารการงานและรายได้ของสปอนเซอร์ร่วม เช่น เอกสารภาษีเงินได้ปีล่าสุดหรือ Tax Return Transcript ปีล่าสุด หนังสือรับรองงาน เป็นต้น
- ในกรณีที่สปอนเซอร์ร่วมยื่นภาษีร่วมกับคู่สมรสและใช้รายได้ของทั้งคู่ในการรับรองผู้สมัคร คู่สมรสของ Joint Sponsor จะต้องยื่นทะเบียนสมรสและแบบฟอร์ม I-864A ร่วมด้วย
เอกสารทั้งหมดจะต้องแสกนเป็นสีจากเอกสารตัวจริงเพื่ออัพโหลดลงในระบบของใบสมัครออนไลน์นะ
ส่วนเอกสารตัวจริงของผู้สมัครและสำเนาเอกสารของสปอนเซอร์หลักและสปอนเซอร์ร่วมจะต้องนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สถานทูต ณ วันสัมภาษณ์ต่อไป
ขั้นตอนการขอวีซ่าคู่สมรสอเมริกา CR1
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน เราจะแบ่งขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าคู่สมรสอเมริกา CR1 / IR1 ออกเป็น 5 ขั้นตอนเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
เอาละ ขั้นตอนการขอมีดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1 กรอกฟอร์มคำร้อง I-130 ออนไลน์ อัพโหลดเอกสารส่วนตัวของผู้สมัครและสปอนเซอร์ และจ่ายค่าธรรมเนียมคำร้อง I-130 ผ่านทาง myUSCIS
สปอนเซอร์บุคคลสัญชาติอเมริกาจะต้องสร้างบัญชีผู้ใช้งานใน myUSCIS สำหรับกรอกคำร้องและจ่ายค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าที่ลิงก์นี้ https://myaccount.uscis.gov/
โดยให้กดที่ Sign up เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้งาน
หลังจากที่สร้างบัญชีเรียบร้อยแล้วให้เลือกหัวข้อ File a Form Online
แล้วเลือก Petition for Alien Relative (I-130)
และเริ่มกรอกใบคำร้องได้เลย
หน้าเว็บไซต์ของ USCIS ให้กด Sign up และกรอกข้อมูลตามที่เว็บไซต์ต้องการเพื่อสร้างบัญชี
เมื่อสร้างบัญชีเรียบร้อยแล้วให้กดเลือกหัวข้อ File a Form Online แล้วเลือกฟอร์ม Petition for Alien Relative (I-130)
1.2 ในขั้นตอนของการกรอกใบคำร้องนั้น จะต้องกรอกข้อมูลของสปอนเซอร์ หรือในคำร้องนี้เรียกว่าผู้ยื่นคำร้อง (Petitioner)
และผู้สมัครหรือที่ในคำร้องนี้เรียกว่าผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary)
โดยเริ่มที่ข้อมูลของสปอนเซอร์ก่อนตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด ข้อมูลที่อยู่อาศัยและข้อมูลเรื่องงาน 5 ปีย้อนหลัง รวมถึงข้อมูลการสมรส
หลังจากนั้นจะเป็นการกรอกข้อมูลของผู้สมัครซึ่งเป็นข้อมูลคล้ายคลึงกันกับของสปอนเซอร์
เพราะฉะนั้นควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่ากำลังกรอกข้อมูลส่วนไหนอยู่
1.3 เมื่อกรอกข้อมูลในแบบคำร้องครบถ้วนแล้ว ระบบจะให้ทำการแนบเอกสารของทั้งสปอนเซอร์และผู้สมัคร
โดยระบบจะแจ้งชัดเจนว่าต้องใช้เอกสารใดบ้าง
หากต้องการยื่นเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถแนบเข้าไปได้ในหัวข้อ Additional Documents
แต่ระบบจะเปิดให้ทำหลังจากที่จ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว
เอกสารที่จะแนบควรสแกนจากเอกสารต้นฉบับให้ชัดเจน หากเป็นเอกสารสีต้องแสกนสีและมีขนาดไม่เกิน 6 MB
หนึ่งในเอกสารที่จำเป็นจะต้องอัพโหลดลงในระบบสำหรับผู้ยื่นวีซ่าคู่สมรสคือฟอร์มคำร้อง I-130A
ซึ่งผู้สมัครจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวรวมทั้งประวัติที่อยู่และประวัติการทำงานย้อนหลังให้ครบถ้วน
สิ่งสำคัญคือจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้แนบคำร้องนี้ครบถ้วนทุกหน้า
รวมทั้งลงลายมือชื่อในคำร้องด้วยปากกาดำเรียบร้อยแล้ว
สามารถดาวน์โหลดฟอร์มนี้ได้ที่ https://www.uscis.gov/i-130
และอย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าใบคำร้องที่ใช้เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบันหรือไม่
1.4 หลังจากทำการ Submit เอกสารทั้งหมด สปอนเซอร์จะต้องทำจ่ายค่าธรรมเนียมออนไลน์ 535 เหรียญสหรัฐฯ ค่าธรรมเนียมนี้จะไม่สามารถเรียกคืนได้
สปอนเซอร์จะได้รับ Receipt Notice ผ่านทาง myUSCIS account และอีเมล์เพื่อยืนยันว่าทาง USCIS ได้รับคำร้องและเอกสารเรียบร้อยแล้ว
ภายในประมาณ 7 วันทำการหลังชำระค่าธรรมเนียม สถานะใบคำร้องจะขึ้นว่า We received your Form I-130, Petition for Alien Relative, and mailed you a receipt notice.
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรออนุมัติ โดยระยะเวลาจะอยู่ที่ประมาณ 6 ถึง 11 เดือน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่ว่าใบคำร้องของเราไปตกอยู่ที่ศูนย์ใด โดยดูได้ที่ช่องซ้ายมือด้านล่างใน Receipt Notice สามารถเช็คระยะเวลาการพิจารณาของแต่ละศูนย์ได้ที่ https://egov.uscis.gov/processing-times/
ในระหว่างนี้ทาง USCIS อาจร้องขอข้อมูลหรือเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติม
สปอนเซอร์สามารถยื่นเอกสารเพิ่มเติมผ่านทาง myUSCIS ได้เลย
ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็คอีเมล์และบัญชี USCIS อยู่เสมอเพื่อไม่ให้ระยะเวลาในการพิจารณายืดเยื้อเกินความจำเป็น
เมื่อ USCIS อนุมัติคำร้อง สปอนเซอร์จะได้รับ Approval Notice โดยทาง USCIS จะแนบเอกสารนี้ไว้ในบัญชี myUSCIS ของเราและสถานะเคสจะเปลี่ยนเป็น Your case for your Form I-130, Petition for Alien Relative was approved.
หลังจากนั้นภายใน 45 วันทำการ สถานะจะเปลี่ยนเป็น Case Was Sent To The Department of State นั่นหมายความว่าเคสของเราถูกส่งไปที่ National Visa Center (NVC) เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
แต่หากครบกำหนดแล้วสถานะยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ได้รับการติดต่อจาก NVC สปอนเซอร์หรือผู้สมัครสามารถติดต่อ NVC โดยตรงได้ที่ https://nvc.state.gov/inquiry.
หน้าตาของ Receipt Notice กับ Approval Notice จะมีความคล้ายคลึงกัน ให้สังเกตช่องด้านขวามือตามที่วงกลมในภาพและอย่าลืมอ่านข้อความที่แจ้งไว้ด้านล่างให้ครบถ้วน
ขั้นตอนที่ 2 กรอกใบสมัคร DS-260 และยื่นหนังสือค้ำประกันทางการเงินให้ NVC ทางออนไลน์
หลังจากที่ทาง USCIS อนุมัติใบคำร้องและส่งเคสต่อมาที่ NVC เรียบร้อยแล้ว สปอนเซอร์จะได้รับอีเมล์จาก NVC เพื่อยืนยันว่า NVC ได้รับเคส
พร้อมทั้งแจ้ง NVC Case Number และ Invoice ID Number เพื่อเป็นข้อมูลในการจ่ายค่าธรรมเนียมและกรอกใบสมัคร
ขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกันเลย
2.1 เข้าไปที่เว็บไซต์ https://ceac.state.gov/IV/Login.aspx แล้วกรอกข้อมูล NVC Case Number และ Invoice ID Number ที่ได้รับทางอีเมล์เพื่อเข้าสู่ระบบและจะปรากฏหน้าจอขึ้นตามภาพ
ผู้สมัครหรือสปอนเซอร์จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการยื่น Affidavit of Support 120 USD และค่าธรรมเนียมการยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐาน (IV Fee) 325 USD
โดยกดที่คำว่า ‘Pay Now’
ให้เลือกชำระทีละค่าธรรมเนียมผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตที่มีบัญชีในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
หลังจากที่ชำระเรียบร้อยแล้วจะต้องรอให้ทาง NVC อนุมัติการชำระเงินประมาณไม่เกิน 14 วันทำการ
เมื่อ NVC อนุมัติสถานะการชำระเงินจะเปลี่ยนจาก ‘Pay Now’ เป็น ‘Paid’ จึงจะสามารถเริ่มทำใบสมัครและแนบเอกสารได้
2.2 ในขั้นตอนของการกรอกใบสมัครและแนบเอกสารจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
ส่วนของสปอนเซอร์/สปอนเซอร์ร่วม (Affidavit of Support)
กับส่วนของผู้สมัคร (Applicant Information)
เราจะเริ่มกันที่ส่วนของสปอนเซอร์ก่อน โดยดูที่หัวข้อ Affidavit of Support (AOS)
ในส่วนนี้จะต้องแนบเอกสารของสปอนเซอร์ ได้แก่ หนังสือค้ำประกันทางการเงิน (I-864) ที่กรอกข้อมูลครบถ้วนพร้อมทั้งลงลายมือชื่อแล้ว และเอกสารภาษี Federal Income Tax Return หรือ Tax Return Transcript ปีล่าสุด
ทั้งสองเอกสารนี้เป็นเอกสารที่จำเป็นจะต้องยื่นให้กับทาง NVC แต่เราแนะนำให้ยื่นเอกสารอื่น ๆ ของสปอนเซอร์เพิ่มเติมเข้าไปด้วย เช่น ใบเกิด หนังสือเดินทาง หนังสือรับรองการทำงาน เอกสารภาษีย้อนหลัง 3 ปี เอกสารเรื่องบ้าน เป็นต้น
แม้ว่าเราจะได้แนบเอกสารเหล่านี้ไปในบัญชี myUSCIS ในขั้นแรกแล้ว แต่เพื่อป้องกันความล่าช้าที่เกิดจากการขอเอกสารเพิ่มเติมควรจึงควรแนบเอกสารนี้ให้กับทาง NVC ด้วยเช่นกัน
ในกรณีที่สปอนเซอร์มีรายได้ไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ใน I-864P, 2020 HHS Poverty Guidelines for Affidavit of Support สปอนเซอร์จะต้องหาสปอนเซอร์ร่วมที่เป็นคนอเมริกันผู้มีรายได้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
โดยสปอนเซอร์ร่วมจะต้องลงชื่อในหนังสือค้ำประกันทางการเงินอีก 1 ฉบับ (I-864) พร้อมทั้งแนบหน้าหนังสือเดินทางสหรัฐอเมริกาและเอกสารภาษีปีล่าสุดที่แสดงว่ามีรายได้ผ่านเกณฑ์
หากสปอนเซอร์ร่วมมีสถานภาพสมรสและยื่นภาษีร่วมกับคู่สมรสและใช้รายได้ของทั้ง 2 คนเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ คู่สมรสของสปอนเซอร์ร่วมจะต้องยื่นฟอร์ม I-864A พร้อมทั้งหน้าหนังสือเดินทางและเอกสารการสมรสด้วย
สปอนเซอร์จะต้องเพิ่มชื่อสปอนเซอร์ร่วมและอัพโหลดเอกสารของสปอนเซอร์ร่วมโดยกดที่ Add Joint Sponsor และเพิ่มคู่สมรสของสปอนเซอร์ร่วมใน Add Household Member (หากมี)
สามารถดาวน์โหลดฟอร์ม I-864 ได้ที่ https://www.uscis.gov/i-864 และ I-864A ที่ https://www.uscis.gov/i-864a
หลังจากที่อัพโหลดเอกสารครบถ้วนแล้วให้กด Submit Document
2.3 ขั้นตอนต่อไปเป็นส่วนของผู้สมัคร ในส่วนนี้จะต้องกรอกข้อมูลของผู้สมัครเองในแบบฟอร์มออนไลน์ DS-260
โดยดูที่หัวข้อ Applicant Information และกด Start Now ตรงช่อง IV application เพื่อเริ่มทำใบสมัคร
คำถามใบแบบฟอร์ม DS-260 จะมีความคล้ายคลึงกันกับแบบฟอร์ม DS-160 ที่เราพบเห็นได้บ่อย ๆ ในการขอวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าคู่หมั้น K-1 ดูรายละเอียดวีซ่าคู่หมั้น K1 ได้ตามลิ้งค์นี้นะ
อ่านเพิ่มเติม: K1 Visa
แต่ในฟอร์ม DS-260 นี้ ผู้สมัครจะต้องแจ้งข้อมูลบางส่วนอย่างละเอียด เช่น ที่อยู่ย้อนหลังตั้งแต่อายุ 16 ปีจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นควรเตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนเริ่มทำใบสมัคร หลังจากกรอกข้อมูลถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ทำการ Submit Application
หลังจากที่ Submit แบบฟอร์ม DS-260 แล้วจะสามารถแนบเอกสารของผู้สมัครได้
โดยจะเป็นเอกสารส่วนตัวทั้งหมดของผู้สมัคร เช่น หนังสือเดินทาง ใบเกิด ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เอกสารสมรส เอกสารหย่า รูปถ่ายติดวีซ่า เป็นต้น รวมถึงหนังสือรับรองความประพฤติจากกรมตำรวจแห่งชาติ
เมื่อเอกสารครบถ้วนแล้วอย่าลืมกด Submit Document เพื่อยืนยันให้ทาง NVC ตรวจสอบเอกสารของเราด้วย
NVC จะใช้เวลาในการพิจารณาเคสและตรวจสอบเอกสารประมาณ 1-1.5 เดือน
ในระหว่างนี้หากทาง NVC ต้องการเอกสารเพิ่มเติมหรืออัพเดทสถานะเคส ทางสปอนเซอร์หรือผู้สมัครจะได้รับอีเมล์แจ้งเตือนให้เข้ามาเช็คในระบบที่เราอัพโหลดเอกสารและกรอกฟอร์ม DS-260 ไว้
เมื่อเราเข้าสู่ระบบอีกครั้งจะพบว่าช่อง Message ด้านขวามือมีตัวเลขปรากฏขึ้น ให้กด View Message เพื่อดูข้อความจาก NVC
หลังจากที่ NVC อนุมัติเคส ผู้สมัครจะได้รับอีเมล์แจ้งว่าเคสได้รับการอนุมัติและจะส่งให้สถานทูตอเมริกาในไทยต่อเพื่อทำการนัดสัมภาษณ์
โดยปกติผู้สมัครจะได้รับอีเมล์แจ้งวันนัดสัมภาษณ์ในอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากได้รับอีเมล์จาก NVC
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสุขภาพเพื่อใช้ขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา
หลังจากที่ผู้สมัครได้รับอีเมล์แจ้งวันนัดหมายสัมภาษณ์จากสถานทูตอเมริกาแล้ว ผู้สมัครจะต้องทำการนัดหมายกับทางโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากสถานทูตฯ แล้วว่าให้สามารถทำการตรวจสุขภาพเพื่อใช้ในการยื่นขอวีซ่าแต่งงานอเมริกาได้ เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลBNH
ในขั้นตอนนี้หากแพทย์พบเห็นความผิดปกติของร่างกายและพิจารณาแล้วว่าต้องมีการตรวจเพิ่มเติม อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในขั้นตอนการขอวีซ่าได้เช่นกัน
เนื่องจากทางสถานทูตจะไม่อนุญาตให้ผู้สมัครเข้ารับการสัมภาษณ์หากไม่มีผลตรวจสุขภาพมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ผลตรวจสุขภาพจะมีอายุเพียง 6 เดือน การเข้าไปตรวจสุขภาพก่อนที่จะได้รับวันนัดสัมภาษณ์จึงไม่แนะนำ
เพราะอาจจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนได้ โดยเอกสารที่ต้องเตรียมไป ณ วันตรวจสุขภาพมีดังต่อไปนี้:
- หนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน (ตัวจริง)
- จดหมายแสดง Case number และอีเมลที่ได้รับการยืนยันวันนัดสัมภาษณ์
- รูปถ่ายขนาดเดียวกันกับประกอบการขอวีซ่าอเมริกา 4 รูป
- ประวัติการฉีดวัคซีน (ถ้ามี)
ขั้นตอนที่ 4 เตรียมเอกสารที่ใช้ในการสัมภาษณ์
ขั้นตอนนี้เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการขอวีซ่าคู่สมรส (CR1/IR1)
ผู้สมัครจะต้องถือเอกสารส่วนตัวที่เป็นตัวจริงทั้งหมดที่เคยแนบในใบคำร้องออนไลน์ก่อนหน้านี้รวมถึงผลการตรวจสุขภาพ ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ณ วันสัมภาษณ์
เอกสารส่วนตัวของสปอนเซอร์และสปอนเซอร์ร่วม (ถ้ามี) สามารถใช้เป็นสำเนาได้ ยกเว้นหนังสือค้ำประกันทางการเงิน (I-864/I-864A) ที่จะต้องใช้ตัวจริงเท่านั้น
นอกจากนี้เอกสารที่ขาดไม่ได้เลยของสปอนเซอร์และสปอนเซอร์ร่วม (ถ้ามี) คือเอกสารภาษี 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งได้แก่ Tax Return Transcript, Federal Income Tax Return และ W-2
เอกสารที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเอกสารความสัมพันธ์ เช่นรูปถ่าย ประวัติการสนทนา หลักฐานสนับสนุนทางการเงิน หรือหลักฐานใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับสปอนเซอร์ยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน
หากไม่สามารถจัดเตรียมเอกสารได้ครบถ้วน อาจเกิดความล่าช้าในการอนุมัติวีซ่าออกไปอีกอย่างน้อย 10 – 15 วันทำการ
โดย ณ วันที่สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่จะให้กระดาษมา 1 แผ่น ระบุรายละเอียดเอกสารที่ต้องยื่นเพิ่มเติม เราเรียกเคสลักษณะนี้ว่าเคสติด 221(g) ซึ่งทางผู้สมัครจะต้องยื่นเอกสารตามที่สถานทูตร้องขอภายใน 1 ปี มิฉะนั้นคำร้องขอวีซ่าของท่านจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนที่ 5 สัมภาษณ์วีซ่าแต่งงาน
ผู้สมัครหลายท่านมักมีความกังวลเกี่ยวกับการสัมภาษณ์วีซ่าแต่งงานของอเมริกาเป็นอย่างมาก
แต่เราอยากให้คุณสบายใจได้ว่าการสัมภาษณ์ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว
ก่อนวันสัมภาษณ์เราแนะนำให้คุณตรวจสอบเอกสารให้แน่ใจว่าครบถ้วนแล้ว
และทบทวนข้อมูลส่วนตัวของตัวเองและสปอนเซอร์เพื่อเตรียมตอบคำถาม
ในวันสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่จะตรวจดูเอกสารทั้งหมดพร้อมทั้งทำการสัมภาษณ์ผู้สมัคร
คำถามมักจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครกับสปอนเซอร์ หรือคำถามเกี่ยวกับสปอนเซอร์เอง
เพื่อเช็คว่าความสัมพันธ์ของคุณทั้ง 2 คนเป็นจริงหรือไม่
และอาจมีคำถามเกี่ยวกับตัวของผู้สมัครเอง เช่น ประวัติการทำงาน ประวัติการเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น
โดยปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้ในการสื่อสาร
หากคุณสามารถพูดคุยกับคู่สมรสของคุณเป็นภาษาอังกฤษได้ก็ไม่น่าใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับคุณ
แต่อย่างไรก็ตามหากคุณประหม่าจนไม่สามารถโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษได้ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขอสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยได้เช่นกัน
หลังจากเสร็จทุกขั้นตอนแล้ว หากคุณได้รับการอนุมัติวีซ่า เจ้าหน้าที่จะเก็บหนังสือเดินทางของคุณไว้และจะส่งกลับคืนพร้อมหน้าวีซ่าทางไปรษณีย์ ภายใน 7 วันทำการหลังจากวันสัมภาษณ์
ต้องทำอย่างไรบ้างหลังจากได้วีซ่า
หลังจากได้รับวีซ่าแต่งงาน CR1 มาแล้วควรตรวจสอบความถูกต้องบนหน้าวีซ่า
หากมีข้อมูลใดผิดพลาดให้รีบติดต่อสถานทูตเพื่อทำการแก้ไข
นอกจากหนังสือเดินทางและหน้าวีซ่าแล้ว ผู้สมัครจะได้รับเอกสารจากทางสถานทูตแจ้งให้ทำการจ่ายค่าธรรมเนียมกรีนการ์ด 220 USD ก่อนเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา
โดยผู้สมัครสามารถเข้าไปชำระได้ที่ https://my.uscis.gov/uscis-immigrant-fee
ค่าธรรมเนียมนี้ผู้สมัครสามารถทำการชำระได้ทั้งก่อนและหลังเดินทางไปอเมริกา
ระยะเวลาในการขอวีซ่าคู่สมรสสหรัฐอเมริกา
หากคุณได้อ่านข้อมูลด้านบนข้างต้นครบถ้วน คุณจะเห็นว่าการทำวีซ่าประเภทนี้นั้นจะมีความสลับซับซ้อนอยู่พอสมควร จากประสบการณ์มากกว่า 10 ปีของเรา เราพบว่าระยะเวลาในการขอวีซ่าแต่งงานอเมริกา หรือ CR1 Vsa จะใช้ระยะเวลาในชั้นต่างๆ ดังนี้:
- ระยะเวลาในการรออนุมัติใบคำร้อง I-130 ประมาณ 6 ถึง 11 เดือน นับจากวันที่ USCIS ได้รับคำร้องโดยดูวันที่ได้จากReceipt Notice ทั้งนี้จะขึ้นอยู่ว่าใบคำร้องของเราไปตกอยู่ที่ศูนย์ใดด้วย
- ระยะเวลาในการออกหมายเลขเคส หรือ Case number ประมาณไม่เกิน 45 วันนับจากวันที่ใบคำร้องได้รับอนุมัติ
- ระยะเวลาในการรออนุมัติใบคำร้อง DS-260 ประมาณ 1-1.5 เดือน หลังจาก Submit และยื่นเอกสารจนครบถ้วน
- ระยะเวลาในการรอนัดสัมภาษณ์จากสถานทูตประมาณ 1-1.5 เดือนหลังจากได้รับอนุมัติจาก NVC
- ระยะเวลาในการรอเล่มหนังสือเดินทางและหน้าวีซ่า ประมาณ 7 วันทำการ นับจากเข้าสัมภาษณ์
*โดยรวมแล้วขั้นตอนทั้งหมดจะให้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 8-12 เดือน ทั้งนี้ ณ สถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 อาจทำให้ระยะเวลายืดออกไปอีกเป็น 1 – 1.5 ปี
คำถามที่พบบ่อย CR1
เพิ่งจดทะเบียนสมรสกัน สามารถขอวีซ่าคู่สมรสได้ทันทีเลยหรือไม่
คำตอบ สามารถขอได้เลย แต่คุณควรมีหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองคนเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง
เคยถูกปฏิเสธวีซ่าท่องเที่ยวมาก่อนจะมีผลต่อการยื่นขอวีซ่าคู่สมรมหรือไม่
คำตอบ โดยส่วนมากแล้วประวัติการถูกปฏิเสธวีซ่าท่องเที่ยวไม่ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาวีซ่าคู่สมรส ผู้สมัครควรแจ้งประวัติการถูกปฏิเสธวีซ่าตามจริง
รายได้ของสปอนเซอร์ไม่ถึงเกณฑ์สามารถยื่นขอวีซ่าคู่สมรสได้หรือไม่
คำตอบ สามารถยื่นขอได้ แต่จะต้องหาสปอนเซอร์ร่วม หรือ Joint Sponsor ที่เป็นชาวอเมริกันหรือผู้ถือกรีนการ์ดและมีรายได้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้สปอนเซอร์หลักและสปอนเซอร์ร่วมจะต้องแสดงเอกสารภาษีปีล่าสุด หรือ 3 ปีย้อนหลังเพื่อยืนยันรายได้ของตน หรือสปอนเซอร์หลักอาจใช้ทรัพย์สินอื่นๆเพิ่มได้ เช่น ที่ดิน บ้าน รถ เป็นต้น
มีความเสี่ยงใดบ้างที่อาจทำให้ถูกปฏิเสธวีซ่าคู่สมรสได้
คำตอบ:
- ผลตรวจสุขภาพของผู้สมัครไม่ผ่านเกณฑ์
- ประวัติอาชญากรรม คดีความต่าง ๆ ของผู้สมัครและสปอนเซอร์
- ประวัติการทำงานผิดกฎหมายของผู้สมัคร
- รายได้ของสปอนเซอร์หรือสปอนเซอร์ร่วมไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ
- ไม่ได้สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์กันจริง
บริการรับทำวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1
หากคุณมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่เราระบุไว้ข้างต้น โอกาสที่คุณจะได้วีซ่านั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม การมีความรู้ในขั้นตอน วิธีการรวมถึงการเตรียมเอกสารที่สมบูรณ์ครบถ้วนจะทำให้การยื่นวีซ่าเป็นไปอย่างไร้ความกังวล
อย่างไรก็ดี หากคุณขาดคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องถูกปฏิเสธวีซ่า เราแนะนำให้คุณติดต่อทางทีมงานเราซึ่งมีบริการรับทำวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1 เพื่อเล่าถึงปัญหาและข้อกังวลต่าง ๆ เพื่อหาทางแก้ไขร่วมกันต่อไป
บริการที่คุณจะได้รับจากทีมงานของเรามีดังนี้
- ช่วยประเมินความเป็นไปได้และปัจจัยเสี่ยงในการขอวีซ่าสำหรับลูกค้าแต่ละท่าน
- ให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน
- แจ้งรายการเอกสารที่จำเป็นสำหรับลูกค้าและสปอนเซอร์
- กรอกข้อมูลในใบคำร้องที่เกี่ยวข้องสำหรับลูกค้าและสปอนเซอร์
- กรอกใบสมัครออนไลน์ I-130 และแนบเอกสารของลูกค้าและสปอนเซอร์ใน myUSCIS สำหรับยื่นให้ USCIS
- กรอกใบสมัครออนไลน์ DS-260 และแนบเอกสารของลูกค้าและสปอนเซอร์สำหรับยื่นให้ NVC
- แปลและรับรองเอกสาร
- จัดเตรียมเอกสารทั้งของผู้สมัครและสปอนเซอร์
- ติดต่อช่วยเหลือในการขอใบรับรองความประพฤติจากกรมตำรวจ
- ทำนัดหมายกับทางโรงพยาบาลพร้อมดูแลลูกค้าในวันที่เข้าไปตรวจสุขภาพ
- เตรียมแนวคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์และฝึกซ้อมสัมภาษณ์
- คอยเช็คและอัพเดทผลให้กับทางผู้สมัคร
การขอวีซ่าคู่สมรสนั้นมีหลายขั้นตอนและอาจมีความยุ่งยากเป็นอย่างมากต่อผู้ที่ไม่ถนัดในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าไปกรอกใบสมัครและแนบเอกสารต่าง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นวีซ่าประเภทนี้จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ณ ปัจจุบันประมาณ 8-12 เดือน
ในบางกรณีที่เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนของการเขียนคำร้องหรือยื่นเอกสารไม่ครบถ้วน
อาจทำให้ระยะเวลาพิจารณาที่ยาวนานอยู่แล้วต้องยืดเยื้อออกไปอีกได้
ดังนั้นการมีผู้ให้คำแนะนำและผู้ช่วยดูแลและช่วยอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอน จะทำให้การยื่นวีซ่าคู่สมรสของคุณเป็นไปด้วยความราบรื่นและสบายใจ
ทีมงานของบริษัท บาเบล วีซ่า แอนด์ ทรานสเลชั่น จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการทำวีซ่ามาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี เราพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและดูแลคุณอย่างดีในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำวีซ่า
คุณสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าและบริการของเราได้ที่อีเมล์ info@bebel-translation.com
หรือโทรมาที่เบอร์ 02-2583433
บทสรุป
เกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการขอวีซ่าคู่สมรสหรือวีซ่าแต่งงานอเมริกา CR1คือ คุณจะต้องพิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับคู่สมรสเป็นเรื่องจริง
สปอนเซอร์หรือสปอนเซอร์ร่วมสามารถแสดงหลักฐานภาษีเพื่อรับรองว่ารายได้ของพวกเขาผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด
รวมไปถึงคุณและสปอนเซอร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมร้ายแรง
และสุขภาพของคุณผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
หากคุณมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมาข้างต้นการขอวีซ่าคู่สมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลใจเลย
อย่างไรก็ดี การให้ข้อมูลและเอกสารเพื่อขอวีซ่าก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย
คุณจำเป็นที่จะต้องอ่านคำถามให้ละเอียดถี่ถ้วนและแจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง
รวมถึงการยื่นเอกสารให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับข้อมูลที่แจ้งไป
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลที่เราให้ไว้โดยละเอียดนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนและเห็นภาพได้ชัดเจน
วิธีการและขั้นตอนอาจมีความซับซ้อนและยุ่งยากไปบ้าง
แต่เชื่อได้เลยว่าคุณจะไม่เสียดายเวลาและความพยายามที่ใช้ในการรอคอยวีซ่าเพื่อไปอยู่กับคนรักของคุณที่อเมริกาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน